5 ทักษะที่ทำให้คุณเป็นผู้นำเชิงบวกที่แข็งแกร่ง (Positive Leaders)

Last updated: 21 Jun 2022  |  1469 Views  | 

Positives Leaders

ทักษะความเป็นผู้นำเป็นตัวแปลที่สำคัญอย่างยิ่งในการจะช่วยให้การทำงานประสบความสำเร็จ ผู้นำที่ดีไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้ในเรื่องของการทำงานเท่านั้น แต่ยังต้องมี Soft Skill ที่สำคัญในการนำเอาทักษะเหล่านั้นมาใช้สร้างความสามัคคีในทีมงานของตนเอง และนั่นคือทักษะที่ใช้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับพนักงานหรือสมาชิกในทีม

โดย 5 ทักษะที่สำคัญนี้ หากผู้นำสามารถค่อยๆ พัฒนา ฝึกฝนให้สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานและการสร้างทีมได้แล้วหล่ะก็ผู้นำท่านนั้นก็จะถือเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของสมาชิกในทีมและคนอื่นๆ ในที่ทำงาน

1. การสื่อสารที่ชัดเจน ในฐานะผู้นำเราต้องสามารถอธิบายให้พนักงานของเราทราบรายละเอียดของงาน โดยเฉพาะใจความสำคัญของงานๆ นั้นได้อย่างกระชับ ชัดเจนและตรงประเด็น ผู้นำเชิงบวกจะสามารถทำให้พนักงานทุกคนเห็นเป้าหมายขององค์กรไปทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้เรายังจะต้องเริ่มปรับตัวให้เกิดความเชี่ยวชาญในการสื่อสารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาแบบตัวต่อตัว (Face To Face)  การสื่อสารทางโทรศัพท์ อีเมล วิดีโอคอล หรือ Line แชท 

นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำเราควรมองหาโอกาสในการพูดคุยและสอบถามปัญหาในการทำงานอยู่เสมอ ในบางครั้งที่เราต้องให้ฟีดแบคในงาน เราควรแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นมิตร ไม่จ้องจับผิดและพยายามให้คำแนะนำอย่างสร้างสรรค์  เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และในแง่มุมของทีมงานเอง พวกเขาก็จะเคารพผู้นำ ที่แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา แต่เห็นอกเห็นใจมากกว่าผู้นำที่มักจะชอบแต่คอมเมนต์แต่สุดท้ายไม่ได้ช่วยให้คำแนะนำหรือให้ Guideline ในการแก้ไขปัญหาใดๆ เลย


2. การสร้างแรงจูงใจ ผู้นำเชิงบวกคือ Role Model หรือตัวอย่างที่ดีที่ทำให้คนอื่นในทีมรู้สึกอยากปฏิบัติตาม และในเรื่องการเรียนรู้และพัฒนาตนเองก็เช่นกัน ผู้นำเชิงบวก มักจะต้องสร้างแรงจูงใจให้พนักงานอยากพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และเป็นแรงพลักดัน
ให้พนักงานมีความพยายามในการทำงานมากขึ้น เราอาจใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมกับคนในทีมของเรา เช่น การชมเชยด้วยความจริงใจ ในสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้ดี อาจจะให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นกำลังใจ หรือแม้แต่การวางแผนในการเลื่อนตำแหน่ง ให้กับคนในทีมที่มี Performance ดีเยี่ยม ซึ่งการสร้างแรงจูงใจที่เป็นผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม จะมีส่วนช่วยให้พนักงานเกิดแรงขับเคลื่อนและมีความกระตือรือร้นมากขึ้น

นอกจากนี้เรายังสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับคนในทีมของเราด้วยการมอบหมายงานที่ท้าทายให้กับผู้อื่น สำหรับการเป็นผู้นำเชิงบวกที่ดีไม่จำเป็นต้องหมายความว่า เราต้องปกป้องคนในทีม โดยการแบกรับงานที่ยากหรือท้าทายไว้ทำคนเดียว หน้าที่ของเราคือการบริหารจัดการงานในภาพรวมและมอบหมายหน้าที่ให้แก่คนในทีมงานแต่ละคนให้ตรงกับความสามารถของเขา หรือบางครั้งอาจจะต้องมอบหมายงานที่เป็นงานใหม่และมีความท้าทายมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้คนในทีมแต่ละคนได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ นำความรู้และทักษะที่มีมาใช้ให้งานที่ท้าทายนั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งเมื่อคนในทีมงานสามารถทำงานนั้นได้สำเร็จตามที่มอบหมายแล้วก็จะเกิดความภูมิใจในสิ่งที่ทำ ซึ่งก็เป็นส่วนในการสร้างแรงกระตุ้นที่ดีอีกวิธีหนึ่ง


3. การสร้างความไว้วางใจ การแสดงออกอย่างเป็นมิตร รวมถึงส่งสัญญาณให้คนในทีมงานทราบว่าเราพร้อมและสามารถรับฟังเพื่อช่วยเหลือคนในทีมทุกคนเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่ทุกคนต่างมีเวลาและพลังงานจำกัดจะเป็นเครื่องบ่งที่ชัดเจนบว่าคนในทีมสามารถพึ่งพาและไว้วางใจเราได้ในฐานะผู้นำเชิงบวกนอกจากนี้ข้อดีในการเปิดใจรับฟัง และให้เวลากับคนในทีมของเราก็คือ เราจะสามารถรับทราบข้อมูลที่สำคัญต่อการปรับปรุงหรือพัฒนางาน รับทราบปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมงานของเราอีกด้วย คนในทีมงานของเราก็จะรู้สึกอุ่นใจ ว่ามีคนคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาออกไปทำงานโดยลำพัง แต่ยังมีหัวหน้าที่คอยระวังหลังให้ พร้อมรับฟังและช่วยเหลืออยู่เสมอ


4. การมีความคิดสร้างสรรค์  ในการทำงานยุคปัจจุบันเราอาจเริ่มเรียนรู้ว่าวิธีการเดิมที่เราเคยทำแล้วประสบความสำเร็จในอดีต อาจไม่ใช่วิธีการที่Work อีกต่อไปในตอนนี้  ดังนั้นผู้นำเชิงบวกจะต้องสามารถบริหารจัดการ วางแผนและแก้ไขปัญหาต่างๆ  ให้สำเร็จลุล่วงด้วยการคิดนอกกรอบ และมองหาความเป็นไปได้ โดยไม่จำกัดตัวเองเฉพาะสิ่งที่เคยทำ มีประสบการณ์มาก่อน หรือแม้แต่ถนัดเท่านั้น การมีความคิดสร้างสรรค์อาศัยกรอบความคิดแบบเติบโต(Growth Mindse) ควบคู่ไปกับการมองโลก  ในแง่บวกบนพื้นฐานของความเป็นจริง (Realistic Optimism) เพราะการที่เรายังต้องลองผิดลองถูกในการทำงาน เราเองจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ แก้ไข ปรับปรุง รวมถึง ยอมรับข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นซึ่งทัศนคติเชิงบวกจะสามารถช่วยให้คุณจัดการความรู้สึกที่ไม่ดีที่เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดนั้นได้ 

ในฐานะผู้นำเรามีหน้าที่รับผิดชอบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของทีม ดังนั้น เราจึงต้องเต็มใจที่จะยอมรับทั้งคำชม และการตำหนิเมื่อเกิดความผิดพลาดของงาน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การคิดหาทางแก้ไข การวางแผนงานที่ชัดเจนเพื่อปรับปรุงให้งานของเราประสบความสำเร็จ การมีความคิดเชิงบวกจะช่วยให้สมองของเราปลอดโปร่ง และทำให้สมองส่วนที่ใช้วางแผนและแก้ปัญหาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในประโยชน์ของการมีความคิดเชิงบวกบนพื้นฐานของความเป็นจริง (Realistic Optimism) ที่มีต่อการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของตัวเราเองและกับทีมงานนั่นเอง


5. การสร้างความยืดหยุ่น  ในการทำงานยุคปัจจุบัน ผู้นำอาจต้องตัดสินใจในหลายเรื่องที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หลายครั้งความยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้เราและทีมงานประสบความสำเร็จ ต่อให้เราและทีมงานพยายามทำงานให้ดีและไม่มีข้อผิดพลาดมากแค่ไหนก็ตาม การเปลี่ยนแปลงหรือสิ่งที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยที่เราอาจจะควบคุมไม่ได้ สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นความสามารถในการยอมรับและยืดหยุ่นจะช่วยให้เรามองปัญหาและความท้าทายนั้น อย่างเปิดใจ และหาทางแก้ไขหรือรับมือได้อย่างสร้างสรรค์ อีกทั้งยังถือเป็นโอกาสที่ทำให้คนในทีมได้เห็นความเป็นมืออาชีพในการพยายามแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์และยอมรับในปัญหานั้น รวมถึงเราอาจจะต้องสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้ทุกคนได้หัวเราะบ้าง ถึงแม้ว่างานจะยุ่งหรือเครียดแค่ไหนก็ตาม  ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันจะต้องมีทั้งทักษะการทำงานและทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น จะช่วยให้เราได้รับความไว้วางใจ และสามารถนำพาทีมและองค์กรให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 

Powered by MakeWebEasy.com
This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy